Thursday, December 29, 2016

ตื่นเถิด...พุทธบริษัท

ตื่นเถิด...พุทธบริษัท


         เริ่มจะมองอะไรออกกันบ้างแล้วใช่ไหมครับ
         เวลาจะทำลายอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ว่าจู่ ๆ จะทำลายได้ทันที ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ ๆ ก็ยิ่งต้องอาศัยวิธีการ และเวลาที่เหมาะสม
         โดยเฉพาะองค์กรที่เกี่ยวกับความเชื่อ ความศรัทธาเช่น องค์กรพระพุทธศาสนา กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่วันสองวัน แต่ใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษทีเดียว


        เมื่อครั้งผู้เขียนยังเยาว์ วัด บ้าน โรงเรียน คือ เสาหลักที่ค้ำสังคมไทยอยู่ ทำให้ประเทศชาติเกิดความเข้มแข็ง การจะโค่นล้มสังคมไทย จึงต้องทำให้ความสัมพันธ์ของเสาหลักทั้งสามนี้สูญหายไป
            ในเสาหลัก ๓ สิ่งนี้ เป็นที่เห็นได้ชัดว่า วัด คือ เสาที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานที่ติดอยู่ในใจของบรรพชนและถูกปลูกฝังให้อยู่ในสายเลือด จึงตกเป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องทำลายให้ได้
            แผนการทำลายจึงเริ่มต้นด้วยการแยกวัดออกจากโรงเรียน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับโรงเรียนเกิดช่องว่างขึ้นทันที จากเดิมที่พระเคยเป็นครูสอนในโรงเรียน ก็กลายเป็นพระไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด


            จากนั้นแผนแยกวัด กับบ้าน ก็เกิดขึ้นด้วยสภาพสังคมที่ต้องดิ้นรนทำมาหากิน ทำให้คนไม่มีเวลาไปวัด จึงเป็นโอกาสของการละเลงสีให้วัด โดยการนำพฤติกรรมที่เสียหายของพระหรือวัด ลงข่าวทุกวัน แค่วันละข่าว ก็ทำให้ศรัทธาเสื่อมถอยแล้ว
            เมื่อแยกวัด กับบ้าน และโรงเรียนได้แล้ว แผนขั้นต่อมาก็คือ การทำให้แตกความสามัคคีกันในหมู่ชาวพุทธ โดยการทำให้เกิดการประจันหน้ากันของสายหรือสำนักต่าง ๆ กลายเป็นการโจมตีกันเองของชาวพุทธ


            ในที่สุดก็จะมีบุคคลหรือหน่วยงานที่อยากจะเข้ามาปฏิรูปวงการศาสนาโดยอาศัยอำนาจทางกฎหมายที่มีอยู่เข้ามาดำเนินการโดยอ้างเหตุว่ามหาเถรสมาคมไม่ทำหน้าที่ จึงค่อย ๆ ลดบทบาทขององค์กรปกครองสูงสุดของสงฆ์ออกไป
            นั่นคือ การเด็ดยอดของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย


            ซึ่งปัจจุบัน วิธีการต่าง ๆ กำลังดำเนินมาถึงจุดนี้ เมื่อองค์กรทางโลกกำลังก้าวล่วงเข้ามาจะแก้ไขกฎหมายของสงฆ์โดยไม่มีการปรึกษาองค์กรทางธรรมหรือมหาเถรสมาคมเลย
            จากความต้องการแก้ไขในมาตรา ๗ เรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชซึ่งเป็นประมุขสงฆ์ เดิมทีนั้นเป็นหน้าที่ของมหาเถรสมาคมในการนำเสนอ แล้วให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวินิจฉัย ก็พยายามจะตีความให้เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในการนำเสนอ เมื่อได้รับการคัดค้าน ในที่สุดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างง่ายดาย จึงมาถึงจุดที่ตัดมหาเถรสมาคมออกไปเลย และล่าสุดร่างกฎหมายนี้ก็ผ่านอย่างง่ายดายด้วยมติ ๑๘๒ ต่อ ๐ เสียด้วย


            ณ เวลานี้พุทธบริษัทคงจะทำอะไรได้ยาก คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า จากมาตรา ๗ นี้ จะมีการรุกคืบไปอีกแค่ไหน อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว เพราะแท้จริงแล้ว นี่คือจุดเริ่มต้นของการล้มองค์กรสูงสุดของสงฆ์คือ มหาเถรสมาคม ซึ่งจะมีผลต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเลยทีเดียว






อนาคาริก
12/29/16

            

Wednesday, December 28, 2016

พลาดแล้วอย่าพลาดอีก

พลาดแล้วอย่าพลาดอีก


            ผู้เขียนได้มีโอกาสสนทนาขอความรู้กับพระผู้ใหญ่หลายรูป ทุกท่านปรารภตรงกันว่า เรื่องของวัดพระธรรมกายจะไม่ดำเนินมาถึงจุดนี้เลย หากกระบวนการยุติธรรมถูกดำเนินการไปตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น


            - ตั้งแต่ออกหมายเรียก ก็ควรจะนำมาส่งให้เจ้าตัวที่วัดให้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปโผล่ที่หนังสือพิมพ์ก่อน และมีข้อน่ากังขาถึงความแตกต่างของหมายเรียกสองฉบับนั้น ถามไปก็ไม่มีคำตอบ จนนำมาสู่ความไม่ไว้วางใจกันในเบื้องต้น


            - ถึงคราวแจ้งข้อหา เมื่อทางวัดร้องขอว่าให้มาแจ้งข้อหาที่วัด ทางเจ้าหน้าที่ก็ปฏิเสธบอกว่าทำไม่ได้ ทั้งที่กฎหมายก็เปิดช่องให้ทำได้ และในกรณีอื่นเจ้าหน้าที่ก็ยังสามารถไปแจ้งข้อหาได้ถึงในเรือนจำ นี่ก็นำมาสู่ความไม่ไว้วางใจหนักขึ้นไปอีก



            - ยังไม่พอ ทางวัดขอให้ส่งแพทย์มาตรวจจะได้ยืนยันว่า เจ้าอาวาสท่านป่วยจริง ก็ไม่ยอมส่งมา แต่เมื่อทางวัดจัดหาแพทย์มาตรวจมีใบรับรองแพทย์ถูกต้อง ก็ถูกตั้งแง่ว่า ใบรับรองแพทย์ไม่ถูกต้อง แถมหน่วยงานของแพทย์ท่านนั้นก็ถูกบีบให้เอาผิดกับแพทย์ท่านนั้น ทั้งที่เป็นสิ่งที่ทำได้


            - เมื่อถึงจุดสำคัญที่ทางวัดยอมจะไปพบที่สภ.คลองหลวง ก็พบว่ามีเงื่อนงำที่น่าสงสัย คือ มีการนำกองกำลังมามากผิดปกติ มีการเตรียมรถพยาบาลของทางเจ้าหน้าที่ ราวกับว่าจะมีการอุ้มไปที่อื่น 



            - ที่สำคัญที่ผิดหลักกระบวนการยุติธรรมอย่างยิ่งคือ ทางเจ้าหน้าที่ได้นำเอาผู้มีอคติกับวัดหลายท่านมาเป็นที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการเอาผิดกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสให้ได้ บุคคลเหล่านี้ได้ผลัดกันออกมาชี้นำสังคมตลอดเวลา และให้ทิศทางในการทำงานของเจ้าหน้าที่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งผู้มีใจเป็นธรรมที่เป็นกลางล้วนมองเห็น


            คุยกันจนมาถึงประเด็นสำคัญที่มีการถกกันมากคือ เรื่องการเป็นเจ้าพนักงานของเจ้าอาวาส พระผู้ใหญ่ท่านนี้พูดชัดเจนเลยว่า นี่คือ ข้อผิดพลาดของการคณะสงฆ์ที่ไปยอมรับในประเด็นนี้ จนทำให้เกิดเป็นบรรทัดฐานขึ้นมา ทั้งที่เจ้าอาวาสหรือมหาเถรสมาคมก็ตาม มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการคณะสงฆ์ ไม่ใช่อำนาจตามกฎหมายบ้านเมือง จึงไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายทั่วไป ดังนั้นหากจะให้หลุดประเด็นนี้ การคณะสงฆ์ต้องแก้ไขเรื่องนี้ มิฉะนั้นจะเท่ากับว่า ตำแหน่งเจ้าอาวาสคือตำแหน่งที่มีไว้เพื่อถอดจีวรแล้วติดคุก


            อีกประเด็นคือ เรื่องของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย คนทั่วไปมักจะเกิดคำถามว่า ทำไมท่านจึงไม่เข้ากระบวนการ หากมองเพียงผิวเผินก็จะมองว่า ท่านดื้อ ไม่ยอมทำตามกฎหมาย แต่หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า ท่านยอมเอาตัวเองเป็นเป้า แต่ไม่ยอมให้เกิดบรรทัดฐานผิด ๆ ขึ้นมาอีก หากท่านยอม ต่อไปภายหน้าพระทุกรูปในแผ่นดินจะถูกตั้งข้อหาฟอกเงิน รับของโจร และถูกจับสึก ในที่สุดก็จะไม่เหลือพระที่มีพรรษามากที่จะเป็นเจ้าอาวาสได้ พระพุทธศาสนาก็จะล่มสลายไปตามเป้าประสงค์ที่บางคนต้องการ


        คงต้องถึงเวลาแล้วกระมังที่ทุกฝ่ายต้องออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียง เรียกร้องความถูกต้องกัน

พลาดแล้วอย่าให้พลาดซ้ำอีกเลยนะครับ





อนาคาริก

12/28/16