Wednesday, November 30, 2016

สังคมวุ่นวาย...เพราะเชื่อใจคนพาล



สังคมวุ่นวาย...เพราะเชื่อใจคนพาล


        เมื่อสมัยที่ผู้เขียนเรียนอยู่ชั้นมัธยมที่ต่างจังหวัด มีวิชาพลศึกษาให้เลือกว่าจะเล่นกรีฑาหรือกีฬาประเภทไหนก็ได้ ผู้เขียนแม้จะชอบดูมวย แต่จะให้ต่อยคงไม่ไหว จึงเลือกไปเล่นวอลเล่ย์บอล ในขณะที่เพื่อนรักสองคนเลือกเรียนมวยไทย



        ในระหว่างเรียนก็ไม่มีปัญหาแต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องสอบเอาคะแนนนี่เริ่มสนุก เพราะพวกเรียนมวยไทยจะต้องมีการจับคู่ให้ชกกัน ใครชนะก็จะได้คะแนนมากหน่อย แล้วก็เกิดเป็นเรื่องจนได้ เมื่อเพื่อนรักของผู้เขียน ทั้งน้ำหนัก ส่วนสูง ไล่เลี่ยกัน จึงถูกจับให้ชกกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



        ทั้งสองคนต่างก็ตกลงซูเอี๋ยกันว่า จะพยายามต่อยให้เนียนที่สุด เพื่อเอาคะแนนให้ได้ ดังนั้นเมื่อเริ่มยกแรก ก็จด ๆ จ้อง ๆ กัน เตะแข้งเตะขาไปตามเรื่องตามราว เต้นไปรอบเวทีซะเป็นส่วนมาก พักยกก็ยิ้มให้กัน 



        ในระหว่างพักยกนี่สิ มีเพื่อนตัวแสบคนหนึ่ง เดินไปทางมุมแดง แล้วก็ไปกระซิบข้างหู จากนั้นก็เดินไปมุมน้ำเงิน ไปกระซิบเช่นกัน พอขึ้นยกสองเท่านั้นแหละ ต่างฝ่ายต่างเดินออกมา ท่าทางเอาจริงเอาจัง ผู้เขียนนึกชมในใจว่า อ๊ะ มันเล่นกันเนียน ที่ไหนได้ จ้องกันสักพัก ซัดกัน ผัวะผะ ๆ จนผู้เขียนตกใจว่า มันเนียนเกินไปหรือปล่าวนี่ นึกว่าจะเอาจริงกันไม่กี่ที อ้าว ทั้งยก เตะกัน ต่อยกันราวกับโกรธกันมาเป็นชาติ ฝ่ายเจ้าตัวแสบที่ไปกระซิบข้างหู ยืนหัวเราะชอบใจอยู่ข้างเวที



       ผู้เขียนแปลกใจเลยไปถามว่า ไปพูดอะไร ทำให้สองคนนั้นชกกันจริงจังขนาดนั้น มันหัวเราะชอบใจแล้วบอกว่า ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่า อีกฝ่ายบอกว่า หากมันเอาจริงอีกคนไม่พอมือหรอก แค่นี้มันก็ลุยกันแล้ว อืม ดูมันทำ



        ผ่านไปเกือบ ๔๐ ปี เหตุการณ์ทำนองนี้ก็ย้อนกลับมาให้ผู้เขียนได้เห็นอีกครั้ง กล่าวคือวัดพระธรรมกายและหลวงพ่อก็ทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยความปลื้มปีติในบุญไปเรื่อย ตามวิสัยของผู้รักการสร้างบุญ สร้างบารมี
        แต่จู่ ๆ ก็มีเรื่องถาโถมเข้ามาสารพัด แทบตั้งตัวไม่ทัน ทั้งเรื่องคำสอน ทั้งเรื่องการฟอกเงิน ทั้งรับของโจร สารพัดประดังเข้ามา มองไปมองมา อ้าว ที่แท้เหตุการณ์ต่าง ๆ ล้วนมีคนอยู่เบื้องหลัง



        ก็ไม่ใช่อื่นไกล ก็คนที่เคยมาอาศัยวัด อาศัยพระศาสนา อาศัยใบบุญหลวงพ่ออยู่ แล้ววันร้าย คืนร้าย พอถูกขัดใจ เพราะความคิดที่ไม่เข้าท่าและไม่รักษาพระธรรมวินัย เลยอยู่กับหมู่คณะไม่ได้ ต้องไปขออาศัยวัดอื่นอยู่ แต่อนิจจา สัญชาติงูเห่าที่ไม่เคยนึกถึงคุณของใคร ไปไหนก็สร้างเหตุ จนถูกขับไล่ออกไปจากวัด จนในที่สุดเมื่อไม่มีใครต้อนรับ จึงสึกหาลาเพศออกไป



        แทนที่จะสำนึกได้ว่า เออ เราทำตัวไม่ดีเลยไม่มีใครรับเข้าหมู่ ต่อไปจะปรับปรุงตัว แต่ปล่าวเลย กลับพกเอาความเคียดแค้นนั้น ย้อนกลับมาเล่นงานผู้มีพระคุณ ตั้งแต่พระอุปัชฌาย์ จนถึงครูบาอาจารย์ที่เคยส่งเสียให้เล่าให้เรียน ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง



        นอกจากจะเข้าทางบ้านเมือง ไปยุยง ให้จัดการทำลายวัด ทำลายหลวงพ่อแล้ว ยังเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ ใส่ข้อมูลผิด ๆ เรื่องวัดพระธรรมกาย จนทำให้ท่านเหล่านั้นเข้าใจวัดผิดไปจากความเป็นจริง




        เหตุการณ์แรก ผู้เขียนได้ตำหนิเพื่อนตัวแสบ แล้วเข้าไปไกล่เกลี่ยเพื่อนรักทั้งสองจนเข้าใจกัน เจ้าเพื่อนตัวแสบก็ขอโทษขอโพย เป็นอันจบกันไป

        แต่เหตุการณ์ที่สอง ผู้เขียนได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ เพราะคงไม่สามารถจะไปลากไอ้ตัวแสบ ให้มาขอโทษหมู่คณะได้ เพราะยากจะเยียวยา คงต้องรอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หน้ามาโปรด ก็คงได้แต่สวดมนต์ ขอให้อานุภาพของพระรัตนตรัยไปดลจิตดลใจให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองตาสว่าง เห็นทุกสิ่งไปตามความเป็นจริง และเลิกเชื่อถือคำของคนพาลเสียที

สังคมของเราวุ่นวาย 
เพราะมีคนพาลมากเกินไปแล้วครับ






ขอขอบคุณภาพจาก google.com
อนาคาริก
11/30/16

Tuesday, November 29, 2016

แผนนี้ไม่ธรรมดา



แผนนี้ไม่ธรรมดา

        เศร้าใจครับ เศร้าใจจริง ๆ หากสงสัยว่า ผู้เขียนเศร้าใจอะไร โปรดดูเอกสารนี้ก่อน






จากเอกสารนี้ ผู้เขียนขอแสดงความเห็นว่า

๑. ผู้เขียนไม่เชื่อว่าหน่วยงานระดับประเทศ ผู้รับผิดชอบเรื่องสำคัญคือการไล่ล่าพระสงฆ์องค์เจ้าขนาดนี้ จะไม่รู้ว่า พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ไม่ใช่รักษาการเจ้าอาวาส

๒. การที่ส่งเอกสารมาถึงพระราชภาวนาจารย์ ย่อมมีนัยยะบางอย่างที่หวังผลเพื่อให้เกิด อะไรบางอย่างขึ้น ซึ่งผู้คิดแผนนี้คงตระหนักอยู่แก่ใจตนเอง





        สิ่งที่อยากจะบอกให้สังคมรับรู้ก่อนที่จะมองไปถึงเจตนาของผู้ออกจดหมายนี้ คือ ความสัมพันธ์ของหลวงพ่อทั้งสอง

        แม้หลวงพ่อทัตตชีโวจะมีอายุมากกว่าและเป็นรุ่นพี่ที่เกษตรศาสตร์ แต่เมื่อท่านได้ยอมตนเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อธัมมชโยแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะบวช ท่านก็สละเตียงให้หลวงพ่อธัมมชโยนอน ก่อนนอนท่านก็กราบหลวงพ่อธัมมชโยทุกวัน ยิ่งเมื่อบวชแล้วความเคารพในครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อทัตตชีโวยิ่งเพิ่มพูนขึ้นด้วยความตระหนักว่า หลวงพ่อธัมมชโยคว้าท่านให้รอดพ้นจากขุมนรกแท้ ๆ ดังนั้นเวลาที่คุยกับหลวงพ่อธัมมชโย ท่านจะประนมมือตลอด



        ณ วันนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ด้วยคำแนะนำของที่ปรึกษาชั้นเลิศในด้านเนรคุณ ทำให้ท่านอธิบดีวางแผนได้อย่างเลือดเย็น โดยการวางหมากบีบบังคับให้หลวงพ่อทัตตชีโวส่งตัวอาจารย์ของท่าน ที่ท่านเคารพรักยิ่งกว่าชีวิตให้กับหน่วยงานที่ขาดความน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง โดยจะเอากฎหมายที่ตนถืออยู่มาเป็นข้ออ้างว่า หากไม่ส่งตัวให้จะมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งการให้ที่อยู่กับผู้ต้องหา

       คงบอกได้คำเดียวว่า แผนนี้ลึกซึ้งอำมหิตยิ่งนัก คนธรรมดาคงไม่สามารถจะคิดได้หรือพูดง่าย ๆ คนที่คิดแผนนี้ได้

น่าจะไม่ใช่คน






ขอขอบคุณภาพจาก มติชนออนไลน์และประชาชาติธุรกิจออนไลน์
อนาคาริก
11/29/16

Saturday, November 26, 2016

คำถามถึงหมอมโน



คำถามถึงหมอมโน


        ผู้เขียนเกิดในจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสานที่มีชุมชนของพี่น้องชาวคริสต์ แม้เราจะมีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข วันดีคืนดีผู้เขียนก็ไปร่วมงานที่โบสถ์ ซึ่งมีขนมอร่อยและบาทหลวงที่ใจดีคอยเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง พาร้องเพลงขอบคุณพระเจ้า ซึ่งท่านจะสอนให้รักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซิสเตอร์เคยบอกผู้เขียนว่า รับนโยบายการทำงานมาจากวาติกัน




        เมื่อผู้เขียนมีโอกาสได้ไปเรียนที่ต่างประเทศ ทั้งอาจารย์และเพื่อน ๆ นักศึกษาก็ล้วนแต่เป็นชาวคริสต์ที่มีอัธยาศัยดีงาม คอยให้คำแนะนำในการเรียน ในการใช้ชีวิตที่ต่างแดน โดยไม่เคยถามว่า ผู้เขียนมีความเชื่ออย่างไร แตกต่างจากเขาหรือไม่ และทุกคนพูดถึงวาติกันด้วยความชื่นชม



        ความรู้ของผู้เขียนเกี่ยวกับวาติกันคือ เป็นที่ประทับของพระสันตะปาปา เป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธาของชาวแคทอลิค มีวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งต้องใช้เวลาสร้างถึง ๑๕๐ ปี โดยอยู่ภายใต้การบริหารงานของพระสันตะปาปา

        คริสตจักรโรมันคาทอลิก นับว่าเป็นคริสจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีศาสนิก ชนกว่าพันล้านคน นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาของคนที่เชื่อมั่นในการบริหารงานของวาติกัน



        สิ่งที่ผู้เขียนแปลกใจมากหลังจากที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของนายแพทย์มโน เลาหวณิช จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันศุกร์ที่ ๒๕ พ.ย. ๕๙ ซึ่งพาดหัวข่าวว่า

หมอมโนชี้จับธัมมชโยไม่ได้ ธรรมกายจะเป็น “ วาติกันพุทธ ”

        ซึ่งในเนื้อข่าวได้กล่าวถึงการชี้นำให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจับกุมเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งท่านอาพาธอยู่ และไม่เคยคิดจะเดินทางหนีไปไหน โดยพยายามชี้นำให้สังคมมองว่าท่านไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งที่ในความเป็นจริง ท่านไม่เคยปฏิเสธกระบวนการที่ยุติธรรมแม้แต่น้อย 

        แต่จากที่ผ่านมาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ มีเงื่อนงำมาตลอด ตั้งแต่การออกหมาย การไม่ยอมไปแจ้งข้อหาที่วัด การเร่งรัดในการจับกุมอย่างผิดปกติ ทำให้ศิษย์วัดเกรงว่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายกับท่านดังเช่นเรื่องราวที่เกิดการผูกคอตายในห้องควบคุมในหน่วยงานนั้น ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังให้คำตอบกับสังคมไม่ได้



        ในเมื่อวาติกันเป็นศูนย์กลาง เป็นศูนย์รวมใจของชาวแคทอลิคให้เป็นปึกแผ่น และสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับคริสต์ศาสนา หากวัดพระธรรมกายทุ่มเททำงานเพื่อต้องการให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองบ้างไม่ได้หรือ?

        หมอมโนช่วยตอบให้กระจ่างหน่อยสิครับว่า



เป็นวาติกันไม่ดีตรงไหน?



ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
11/26/16




Thursday, November 24, 2016

สังคมไทยจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ?



สังคมไทยจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ?


เมื่อฉันยังเด็ก

พ่อของฉันเล่าเรื่องสำคัญ ๒ เรื่องให้ฟัง จากการที่ท่านได้พูดคุยกับเพื่อนชาวต่างชาติ

เรื่องแรก

ท่านและเพื่อนชาวต่างชาติได้ไปนั่งดื่มกาแฟที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ต่างจังหวัด ขณะกำลังคุยกันก็มีชายวัยกลางคน ผอม ๆ ก้าวเข้ามาในร้าน พ่อของฉันจึงบอกเพื่อนว่า ชายคนนั้นชื่อ โผน กิ่งเพชร อดีตนักมวยแชมป์โลกชาวไทย เพื่อนชาวต่างชาติ ตกตะลึง แล้วกล่าวว่า

“ เป็นไปได้ไง ที่คนสำคัญขนาดนี้ ไปไหนมาไหนด้วยตนเอง ใส่เสื้อกล้ามเก่า ๆ ไม่มีใครติดตาม ไม่มีใครสนใจ คนในร้านกาแฟก็เฉย ๆ ทุกคน หากเป็นที่บ้านของเขา ป่านนี้คนแห่มาขอลายเซ็น จนไม่ได้ดื่มกาแฟแน่ ”



เรื่องที่สอง

พ่อของฉันได้ไปทานข้าวต้มในยามค่ำคืน ที่ร้านผักบุ้งลอยฟ้า ท่านเล่าว่า ขณะที่มองพ่อครัวโยนผักบุ้งอย่างเพลิดเพลิน ก็พบสิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านต้องเก็บมาคิด

เวลาที่พ่อครัวโยนผักบุ้งที่ผัดแล้วขึ้นบนฟ้า ทุกสายตาจะมองตามด้วยใจจรดจ่อ และรอลุ้น แต่ท่านพบสิ่งที่แตกต่างสองสิ่ง

เมื่อผัดผักบุ้งลอยขึ้นไป แล้วตกลงบนจานของบริกร ชาวต่างชาติที่อยู่บริเวณนั้น จะพากันปรบมือ เป่าปาก แสดงความยินดี แต่คนไทยที่อยู่รอบ ๆ จะเงียบ ดูเฉย ๆ

แต่หากผัดผักบุ้งลอยฟ้านั้น หล่นลงที่พื้นแทนที่จะเป็นจาน ชาวต่างชาติจะมองนิ่ง ๆ ในขณะที่คนไทยจะพากันปรบมือ สะใจที่เห็นความผิดพลาด


เมื่อฉันย่างเข้าสู่วัยกลางคน 

ฉันมีโอกาสไปประเทศชิลี และได้พบกับอดีตนางงามจักรวาลของประเทศนั้น หลังจากที่เธอได้ครองมงกุฎ ผ่านไปแล้วกว่า ๑๐ ปี เราเจอกัน เพราะเธอสนใจเรื่องสมาธิ วันที่พบกัน เธอแต่งตัวง่าย ๆ สวมกางเกงหลวม ๆ เสื้อยืดธรรมดา เพื่อเหมาะแก่การนั่งสมาธิ ไม่แต่งหน้า ผัดแป้งเพียงเล็กน้อย แต่ความสง่างาม และเค้าความสวยงามยังคงอยู่ เพื่อนของเธอเล่าว่า เธอต้องพากันออกทางหลังบ้าน ไม่อย่างนั้นจะต้องมีนักข่าวตามมาทำข่าว เพราะไม่ว่าเธอจะไปไหน จะเป็นข่าวเสมอ



เมื่อฉันอายุใกล้จะ ๖๐

ฉันเป็นลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ฉันรักหลวงพ่อของฉัน เพราะท่านบวชตั้งแต่อายุ ๒๔ ปี และได้ทุ่มเทเพื่องานพระพุทธศาสนา ได้ขยายวัดสาขาไปทั้งในและต่างประเทศกว่า ๑๐๐ วัด ปัจจุบันท่านอายุ ๗๒ ปี อีกทั้งอาพาธจากหลายโรค จู่ ๆ ท่านก็ถูกกล่าวหาว่า ฟอกเงินและรับของโจร จากคนที่ไม่รู้จักท่านเลย หรือจากบางคนที่มีอคติบังตาบังใจ รวมทั้งคนเนรคุณบางคน


วันนี้

ฉันมานั่งทบทวนดูเรื่องราวทั้งหมดด้วยความสลดใจและอยากจะถามใครสักคนที่จะสามารถตอบได้ว่า





สังคมไทยจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร?





ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
11/25/16

Wednesday, November 23, 2016

เป็นได้แค่...



เป็นได้แค่...



       ผมค่อย ๆ ถอดแว่นสายตาอย่างช้า ๆ เงยหน้าขึ้นจากหนังสือกำลังภายในที่อยู่ในมือ สายตามองทอดออกไปนอกหน้าต่าง ผ่านแมกไม้สู่ขุนเขาเบื้องหน้า

        ความคิดคำนึงจากเรื่องราวในหนังสือทำให้เกิดคำถามผุดขึ้นมาในใจ

        อะไรทำให้ทัศนคติของคนในสังคม เปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้


        ในอดีตศิษย์ที่คิดล้างครู จะไม่มีใครคบหา ไปไหนก็เป็นที่รังเกียจ ไม่ใช่แค่รังเกียจธรรมดา แต่หากพบศิษย์ทรยศต่อสำนัก ต่ออาจารย์ เขาให้ลงมือส่งวิญญาณได้เลยด้วยซ้ำ นั่นคือ เหตุการณ์เมื่อหลายร้อยปีก่อน



       ณ ปัจจุบัน

        สำหรับคนที่สื่อทั้งหลายให้ฉายาว่า อดีตศิษย์วัด และมีพฤติกรรมของศิษย์ทรยศ กลับได้รับการยอมรับในสังคม บางมหาวิทยาลัยให้ไปเป็นอาจารย์ สื่อต่าง ๆ เชิญไปออกรายการ แม้แต่หน่วยงานของรัฐ ก็เชิญไปเป็นที่ปรึกษาเพื่อให้หันปลายหอกปลายดาบ กลับมาทิ่มแทงครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงมา รวมทั้งทำร้ายพระอุปัชฌาย์ผู้ให้กำเนิดในทางธรรม


        หรือว่าสังคมไทยลืมคำสอนของพระบรมศาสดาไปแล้วว่า บุคคลผู้คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วเช่นนี้ เรียกว่า คนพาล

        การคบคนพาลนั้น ล้วนแต่จะนำมาซึ่งความหายนะให้กับตนเอง สังคมและประเทศชาติ



        ในฐานะของศิษย์วัด ทุกครั้งที่ได้ยิน ได้เห็น ว่าสื่อเรียกบุคคลผู้นี้ว่า อดีตศิษย์วัด รู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่ง และใคร่ขอร้องสื่อต่าง ๆ เลิกเรียกบุคคลนั้นว่า อดีตศิษย์วัดเถิด เพราะมีความรู้สึกว่าบุคคลที่เหมาะสม คู่ควรต่อการถูกเรียกว่าศิษย์วัดนั้นจะต้องเป็นภาพของความสง่างาม ความน่าเลื่อมใส สมกับเป็นผู้ที่ผ่านการศึกษา ผ่านการอบรมหล่อหลอมมาอย่างดี

        สำหรับผู้ที่ไม่เคยนึกถึงคุณของพระอุปัชฌาย์ ไม่เคยคิดถึงพระคุณที่ครูบาอาจารย์เลี้ยงดูมา ในสายตาของผม คนนั้นเป็นได้อย่างมากก็เพียงแค่


คนเนรคุณ




ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
11/24/16