Wednesday, August 31, 2016

ใต้ฟ้าเดียวกัน แต่คนละชั้นชน

            
ใต้ฟ้าเดียวกัน แต่คนละชั้นชน



     วันก่อนเดินทางผ่านไปทางสนามหลวง เลยถือโอกาสสอดส่ายสายตาเข้าไปในกระทรวงยุติธรรม มองไปยังอนุสาวรีย์ของพระบิดาแห่งกฎหมายไทย(พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์) ส่งใจไปสัมผัสถึงใจของท่าน หากวันนี้ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะคิดอย่างไรหนอ

     “ ชีวิตฉันเกิดมาเพื่อรับใช้ประเทศชาติ(My life is service) ”

     นี่คือปณิธานที่ท่านได้ตั้งใจไว้ ณ วันนี้จะมีนักกฎหมายสักกี่คนหนอ ที่จะมีความคิดเช่นเดียวกับพระบิดา จะมีสักกี่คนหนอ ที่ใช้กฎหมายอย่างสุจริตยุติธรรมจริง ๆ




     เมื่อเจอะเจอพรรคพวกในแวดวงกฎหมาย ก็อดไม่ได้ที่จะปรารภเรื่องนี้ ทุกคนถอนหายใจพร้อม ๆ กันโดยมิได้นัดหมาย 

     “ นี่ถ้าพระบิดายังอยู่เหรอ พระองค์คงเสียใจแน่ ๆ ที่มีการใช้กฎหมายกันแบบนี้ ”

     “ แบบไหนหล่ะ จู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา จะไปรู้เรื่องด้วยไหมเนี่ย ”

     “ อ้าว ไม่ได้ตามข่าวบ้างเหรอ เรื่องไล่พระออกจากป่านั่นไง ”

     “ อ๋อ ก็ในข่าวเห็นว่า มีตั้งหลายพันวัดเหรอ มีอะไรพิเศษหรือ
ปล่าว ”

     “ พิเศษสิ นอกจากพิเศษแล้ว ยังแปลกด้วย มีกลิ่นทะแม่ง ๆ อีกหล่ะ ก็ออกข่าวว่ามีตั้ง ๔,๐๐๐ แห่ง แต่มีข้อน่าสังเกตสิว่า มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ลงมาทำเรื่องนี้เอง ”



     “ ก็ดีแล้วนี่นา แสดงว่าท่านต้องการให้เห็นว่าท่านทำงาน จะอยู่เหนืออยู่ใต้ท่านไปทุกแห่ง สมัยก่อนตัวไม่ไป ท่านยังเอาชื่อไปเลย

     “ ก็น่าจะดีนะ หากไม่มีอะไรแอบแฝง แต่มันติดใจก็อีตรงที่วัดทุกแห่งที่นายตำรวจท่านนี้ไปลุย จะเป็นเครือข่ายหรือมีพระของวัดใหญ่แถวปทุมไปอยู่อ๊ะ ”

     “ แล้วมันจะแปลกตรงไหนเหรอ นี่ตามไม่ทันนะนี่ วันหลังจะคุยอะไรช่วยบอกก่อน จะได้หาข้อมูลมาคุยได้ ”



     “ ที่น่าแปลกคือ การตั้งข้อหาสิ ว่ารุกป่าบ้าง แผ้วถางป่าบ้าง ทั้งที่ความจริง พระท่านไปปลูกป่าด้วยซ้ำ บางแห่งพระท่านไปทำพิธีบวชต้นไม้กันคนเข้าไปตัด ชาวบ้านเอย ผู้นำชุมชนเอย เขาดีใจกันใหญ่ แต่กลับโดนหาว่ารุกป่านี่ เฮ้อ

     หนักไปกว่านั้นนะ บางแห่งเจ้าอาวาสงี้ อาพาธต้องนั่งรถเข็น เดินยังไม่ได้ แต่โดนข้อหารุกป่า แผ้วถางป่า คิดดูหล่ะกัน เดินยังไม่ไหวเลย ”

     “ พูดจริงปะเนี่ย บ้านเราเมืองพุทธนะ ทำงี้ได้เหรอ ”

     “ มันเป็นไปแล้วเพื่อน บางที่จะเล่นงานเขาเรื่องเอกสารสิทธิ์ พอเขามีหลักฐานว่า มีเอกสารสิทธิ์ก็เดินสำรวจเอาผิดให้ได้ ต้นไม้ล้ม ก็หาว่าตัดไม้ บางแห่งเอาผิดเรื่องที่ลำบาก ก็หาเรื่องเจาะบ่อบาดาลไม่ขออนุญาต ติดตั้งหม้อแปลงไม่ขออนุญาต ไงหล่ะ หนักกว่านั้นนะ บางจุดหาเรื่องอะไรไม่ได้ อ๊ะ เดินไปเจอพอดี ปลูกดอกไม้หน้าป้าย รุกที่ป่าสงวนซะเลย ”



     “ เออ พอพูดถึงเรื่องนี้ นึกถึงเรื่องที่เป็นข่าวเมื่อเดือนก่อน เรื่องคล้าย ๆ กัน แต่ทำไมมันต่างกันเยอะจังเลย แต่จะว่าไปก็ไม่คล้ายหรอกนะ เพราะอันนี้ผิดเต็ม ๆ ไม่ต้องไปเดินสำรวจให้เมื่อย ”

     “ อ้าว นึกเรื่องอะไรได้หล่ะ ”

     “ อ้าว นี่ตกข่าวหล่ะสิ ก็มีพระดัง ไปซื้อที่หลายร้อยไร่เลย ซื้อไว้นานแล้ว แต่ไม่เป็นข่าว มาเป็นข่าวก็ตอนมีเรื่องไล่จับพระรุกที่ป่านี่แหละ ”

     “ แล้วไง ท่านซื้อที่ก็ไม่แปลกนี่นา ”

     “ ไม่แปลกได้ไง ก็ที่ที่ท่านซื้อ เป็นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ แล้วท่านก็ซื้อมาจากคนที่ไม่มีสิทธิครอบครองในที่นั้นด้วย ”

     “ อ้าว ยังงี้ ก็โดนหนักเลยสิ นี่แรงกว่าพระที่ท่านมีเอกสารสิทธิ์แน่เลย ขนาดมีเอกสารยังโดนไล่ล่าขนาดนั้น เคสนี้คงโดนหนักแน่ เพราะรุกที่ป่าสงวนนี่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทเลยเชียวนา ”



     “ ไม่เพียงซื้อที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์เท่านั้นนะ ท่านบอกว่าท่านจะปลูกป่า ได้คุยกับทางราชการแล้ว แต่ปรากฏว่า ทางราชการทั้งนายอำเภอ ทั้งป่าไม้ บอกไม่เคยคุยอะไรกันเลย ที่หนักกว่านั้นคือ มีสิ่งก่อสร้างผุดขึ้นมาในที่ซะด้วยสิ ”

     “ โอ๊ย หนักแน่งานนี้ สงสัยท่านโดนสอบหนักแน่อ๊ะ ”

     “ ผิดคาดเพื่อน พอเรื่องแดงออกมานะ ท่านรีบเข้าไปหาตำรวจเลย แจ้งจับตัวเอง เลยกลายเป็นฮีโร่ ดูแล้วเรื่องก็น่าจะเงียบหายไปตามกระแสลม ”

     “ อืม มิน่า ถึงได้ยินใคร ๆ ก็เล่าลือกันว่า ท่านทำอะไรก็ไม่ผิด ได้ข่าวว่ามี “ กองหลัง ” ระดับโคตะระบิ๊ก ๆๆๆๆๆ ”

     “ นึกออกแล้ว สบายโจรหล่ะ ”

     “ อะไรอีกหล่ะเพื่อน ”

     “ อ้าว ทำงง จะงงทำไมเนี่ย ก็ต่อไปเวลาเราทำผิด ก็รีบเข้าไปพบตำรวจ แจ้งข้อหาตัวเองเลย หากตำรวจจะเอาผิด เราก็อ้างกรณีของท่านได้นี่นา ”



     กำลังคุยกันอยู่ดี ๆ สองคนแท้ ๆ มีเสียงตะโกนแทรกมาซะดังลั่นเลย

     “ เงียบได้ไหม ไอ้สองคนนี้ ทำเป็นพูดดี แค่หาคนเสื้อเขียวอารักขาสักคนยังไม่ได้ ดันทะลึ่งจะเลียนแบบเขา ให้มันรู้ซะมั่งว่ายุคนี้ใครคุม ”

เฮ้อ อยากตะโกนดัง ๆ จัง “ บ้านนี้เมืองนี้มันกี่มาตรฐานวุ้ย ”





ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
09/01/16



Tuesday, August 30, 2016

หมายประหลาด



หมายประหลาด

                 
     เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ ส.ค. ที่ผ่านมา มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ว่ามีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ออกมาแถลงข่าวเพื่อให้เกิดความชัดเจน




     เมื่อเห็นข่าวนี้ รู้สึกดีใจมากจริง ๆ ที่เห็นผู้ใหญ่เอาใจใส่ในความรู้สึกของประชาชน ซึ่งในแวดวงนักกฎหมายก็ให้ความสนใจในคดีของวัดพระธรรมกายเป็นอย่างมาก เดิมทีก็คิดว่าเป็นคดีธรรมดา ๆ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ๆ ชักจะรู้สึกตะหงิด ๆ ว่าน่าจะไม่ธรรมดาซะแล้ว ยิ่งมีข่าวลือหนาหูกันมากว่างานนี้มี “ พลังพิเศษ ” ส่งผ่านมา ทำให้เกิดแรงกดดันรอบทิศ



     นอกจากจะเล่นงานวัดพระธรรมกายโดยตรงแล้ว ตามข่าวยังกล่าวถึงการตามไปตรวจสอบตามวัดอื่น ๆ ที่มีพระจากวัดพระธรรมกายไปอยู่ รวมทั้งที่ปฏิบัติธรรมหลายแห่ง พรายกระซิบเล่าแบบขำ ๆ ว่า บางแห่งหาทางเอาผิดเรื่องใหญ่ ๆ ไม่ได้ มองไปมองมา ในที่สุดก็พบว่า แปลงดอกไม้ที่ปลูกไว้หน้าป้าย ไปรุกป่าซะงั้น (ฮา)

     เมื่อจับกลุ่มคุยกัน ในฐานะคนเคยเรียนกฎหมาย ก็อดจะหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็นไม่ได้ และมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า

“ เรื่องนี้มันมีกลิ่นตั้งแต่ต้นแล้ว ”

“ ยังไงหล่ะพวก นี่คดีนะ ไม่ใช่ทุเรียนจะได้มีกลิ่น ”

“ คงไม่ต้องวิเคราะห์เจาะลึกอะไรมากนะ เอาแค่ตื้น ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องไปคำนึงถึงว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร ”

“ อีกนานไหมพวกกว่าจะเข้าเรื่อง ”

“ สังเกตไหมหล่ะ มันแปลกตั้งแต่ออกหมายเรียกแล้ว ”

“ ลีลาจัง แปลกยังไงก็ว่าไปเลย ”

“ ก่อนจะเมาท์ต่อ ดูเอกสารก่อนแล้วกันนะ ดูสิว่าเป็นไง ”




“ อืม มันแปลกจริงด้วย แปลกมาก ๆ แล้วมันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ไงเนี่ย ”

“ นั่นสิ แล้วนายมองว่าไงหล่ะ หลังจากที่ดูเอกสารแล้ว ”

“ ถามก่อน ไอ้ฉบับแรกนี่มันมายังไง ”

“ เริ่มจับประเด็นได้แล้วสิ นี่แหละเรื่องมันเกิดก็เพราะ เจ้าฉบับแรกนี่ มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเอาไปลงข่าว พวกฉบับใหญ่ ๆ ยังไม่รู้เรื่องเลย ที่สำคัญผู้ต้องหาเอง ก็ยังไม่เห็นหมายเรียกฉบับนี้ แปลกไหมหล่ะ ”

“ พูดเป็นเล่นไปนา มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ”

“ หนักไปกว่านั้น วันรุ่งขึ้นจากที่ออกข่าว เจ้าหน้าที่รีบไปที่วัดตั้งแต่เช้า ไปส่งหมายนั้น แต่ก็แปลกอีกแหละ ”

“ ยังมีแปลกกว่านี้อีกเหรอ นี่เปิดตำราตามไม่ทันเลยนะเนี่ย ”

“ จะไม่แปลกได้ไง ก็เจ้าฉบับหลังที่ไปส่งวัดนี่ มันไม่เหมือนกับฉบับที่ออกข่าวอ๊ะ ถ้าสงสัยกลับไปดูภาพใหม่ได้ จะเห็นข้อแตกต่างเลยหล่ะ เขียนชื่อผู้ต้องหายังผิดเลย ”



“ อย่างนี้ก็ต้องมาวิเคราะห์กันหน่อยแล้วว่ามันยังไงกันนะ คงต้องมาดูเป็น ๒ กรณี

     ๑​.หากมองว่าเอกสารนั้นจริง ก็มีคำถามตามมาว่า

        ประการแรก เอกสารนั้นเป็นเอกสารราชการ แล้วหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น ได้ไปอย่างไร

        ประการที่สอง ทำไมสองฉบับจึงไม่เหมือนกัน

     ๒.หากมองว่าเอกสารนั้นปลอม ก็จะมีคำถามว่า

        ประการแรก ใครเป็นผู้ปลอมเอกสาร

        ประการที่สอง ผู้นำเอกสารปลอมไปใช้จะมีความผิดอะไรหรือไม่

        ประการที่สาม ได้มีการดำเนินการเอาผิดกับผู้ปลอมเอกสารหรือยัง ”



“ พวกเราคงตอบไม่ได้นะ นึกออกแล้วว่าใครจะเฉลยเรื่องนี้ได้ ”

“ ใครเหรอเพื่อน ”

“ เอ้า จะใครเล่า ถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ ที่ออกมาแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์นั่นไง ”



     ลองเดากันเล่น ๆ กันหน่อยไหมท่านผู้อ่าน ว่าผู้ใหญ่ท่านนั้นจะออกมาตอบคำถามนี้หรือไม่





ป.ล. มีคำถามถึงท่านอีกหลายคำถามเลยหล่ะ



ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
08/30/16

Sunday, August 28, 2016

วิสัยทัศน์ของชาวบ้านป่า



วิสัยทัศน์ของชาวบ้านป่า



     เมื่อเช้านั่งจิบชาผู่เอ๋อไป ก็อ่านปรัชญาจีนไปด้วยเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ ขาดเพียงไม่มีเคราให้ลูบเล่นยามขบคิด



     อ่านไปเจอเรื่องที่สะดุดใจ เป็นเรื่องของเซียนหมากล้อม ๒ ท่าน ที่ประลองฝีมือกัน ท่านแรกเป็นแม่ทัพที่กำลังจะไปรบ อีกท่านเป็นชาวบ้านป่าธรรมดา ที่กล้าเขียนป้ายหน้าบ้านว่า "เล่นหมากล้อมอันดับ ๑ ของประเทศ" ก่อนไปรบประลองกัน ๓ กระดาน แม่ทัพชนะรวด จึงบอกให้เอาป้ายลงได้แล้ว แต่พอรบชนะกลับมาผ่านหมู่บ้าน ก็เห็นป้ายยังอยู่ เลยเข้ามาท้าอีก ๓ กระดาน คราวนี้แม่ทัพแพ้รวด แม่ทัพงุนงงสงสัยสิว่า หากเล่นเก่งขนาดนี้ ทำไมคราวโน้นกลับแพ้ ชายชาวบ้านป่าจึงบอกว่างวดนั้นเห็นแม่ทัพจะไปรบหากบั่นทอนกำลังใจ ความฮึกเหิมจะหายไป จะมีผลเสียกับการรบ แต่งวดนี้แม่ทัพชนะศึกกลับมาแล้ว เลยไม่ต้องออมมือ



     ที่สะดุดใจมีอยู่ ๒ ประเด็นใหญ่ ๆ

     ๑. แม่ทัพท่านนี้ เพียงแค่เห็นป้ายว่า เล่นหมากล้อมอันดับ ๑ ของประเทศ ก็ทนไม่ไหวแล้ว ฟ้องถึงวิสัยของผู้มีอำนาจ ที่มักจะทนไม่ได้ หากมีใครที่จะมาแสดงความเก่งเหนือกว่าตนเอง

     เหตุการณ์ทำนองนี้ ในสมัยพุทธกาลก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ที่มีพราหมณ์ยากจนเอาชนะใจของตนเองยอมถวายผ้าที่ตนมีอยู่ แล้วเปล่งเสียงด้วยความปีติว่า ชิตังเม ๆ แปลว่า เราชนะแล้ว ๆ พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยินเข้ายังอดหงุดหงิดไม่ได้เลย

     มาในยุคปัจจุบัน ก็คงจะไม่ต่างกันเท่าไรนัก เพราะกิเลสก็ตัวเดิม โลภะ โทสะ โมหะ หากผู้มีอำนาจเห็นใครก็ตามที่มีผู้คนมาห้อมล้อม แห่แหน มาเปล่งเสียงชิตังเมกันสนั่น ก็คงจะรู้สึกเคือง ๆ ทั้งที่ความหมายคือ เขาดีใจที่เอาชนะกิเลสในตัวได้



     ในสมัยพุทธกาลนับว่ายังดี ที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังอยู่ พระองค์ยังสามารถชี้ให้เห็นความจริงในเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่มาในยุคนี้ หากผู้มีอำนาจไม่พอใจใครแล้ว ก็ยากที่จะห้ามได้ ยิ่งถือกฎหมายอยู่ในมือ ก็หาความผิดกันได้ตลอด พระอยู่ในป่าก็ขับไล่ว่ารุกป่า พอพระจะมาเดินธรรมยาตราในเมือง ก็บอกว่าทำไมไม่ไปเดินในป่า ตกลงจะให้ไปอยู่ดาวอังคารซะก็ไม่รู้ เห็นบางท่านแนะนำอย่างนั้นซะด้วย



     ๒. วิสัยทัศน์ของชายชาวบ้านป่า น่าทึ่งทีเดียวที่แม้เป็นชาวบ้าน แต่กลับคิดถึงเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมืองได้

     ลองนึกภาพว่า หากชายชาวบ้านป่าไม่ยอมออมมือ มุ่งเอาชนะแม่ทัพทั้ง ๓ เกม รับรองว่าท่านแม่ทัพจะต้องท้อแท้ หดหู่ ไม่มีความฮึกเหิม จะส่งผลไปถึงการบัญชาการรบอย่างแน่นอน และนั่นก็ย่อมมีผลมาถึงประเทศชาติ



     ดูหนังดูละครแล้วก็ย้อนมาดูตัว หากผู้นำที่ใดก็ตาม มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ก็จะมองถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ได้คิดถึงแค่ผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง ไม่ได้คิดถึงแต่ฐานอำนาจของตนเองว่า หากคนนั้นขึ้นฉันจะมั่นคง หากคนโน้นขึ้นฉันอยู่ไม่ได้แน่ โดยไม่สนใจว่าประชาชนจะเดือดร้อนแค่ไหน ประชาชนเขาไม่สนใจหรอกว่าใครจะเป็นอะไร เขาสนใจแค่ว่ารัฐบาลไหนที่จะช่วยให้เขาลืมตาอ้าปากได้บ้าง ไม่ใช่บอกว่าเศรษฐกิจดี แต่เขาแทบไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ 

     ที่สำคัญผู้มีวิสัยทัศน์ย่อมมองออกว่า การจะพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองนั้น จะต้องพัฒนาคนให้มีคุณภาพด้วยศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรม ไม่ใช่การไล่ล่าพระสงฆ์องค์เจ้าเหมือนที่บางประเทศทำกัน

     ก็ได้แต่หวังว่า รัฐบาลของหลาย ๆ ประเทศคงจะเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและคำนึงถึงความสุขโดยรวมของประชาชน


หากคิดไม่ได้ก็อายชายชาวบ้านป่าเนอะ



ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
08/28/16

Monday, August 22, 2016

จะสร้างสรรค์หรือจะทำลาย



จะสร้างสรรค์หรือจะทำลาย



     เมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ออนไลน์ฉบับหนึ่ง แค่เห็นพาดหัวข่าว ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจแล้ว เมื่ออ่านเนื้อหายิ่งรู้สึกเป็นห่วงหนักเข้าไปอีก

     “ ตีแผ่ธรรมกาย “ล้างสมองเด็ก-เยาวชน” แทรกเข้าโรงเรียน ครู-อาจารย์ เอาด้วย ”

     นี่คือข้อความที่พาดหัวข่าวซึ่งมีประเด็นที่ต้องมาพิจารณากันอยู่หลายประเด็น



๑​.​ คำว่า ล้างสมอง ในความหมายทั่ว ๆ ไป คำนี้มักจะเป็นเชิงลบ มีความหมายว่า เป็นการใส่ความคิดที่ไม่ดีลงไป

     - ความจริง สิ่งที่วัดพระธรรมกายทำ หากจะมองว่าเป็นการล้างสมองก็เป็นการล้างเอาความคิดที่ไม่ดี หรือที่เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิออกไปจากใจของเด็กและเยาวชน ผู้เขียนเคยไปที่จังหวัดอุบลราชธานีเมื่อสองสามปีก่อน ได้พบกับผู้ปกครองเด็กท่านหนึ่ง ได้แสดงความชื่นชมต่อโครงการของวัดพระธรรมกาย เนื่องจากได้เปลี่ยนลูกของเขา จากเด็กเกเรอายุแค่ ๑๕ ปี แต่เอาทุกอย่างทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน กลายมาเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน เป็นที่รักของครูอาจารย์และเป็นผู้นำเพื่อน ๆ ให้สวดมนต์ จัดรายการธรรมะของวิทยุชุมชน



๒. ในเนื้อข่าวได้บอกว่า วัดพระธรรมกายสร้างค่านิยมแบบวัตถุนิยม โดยเอาของรางวัลมาล่อให้เยาวชนเหล่านั้นมาร่วมโครงการ

     - ความจริง รางวัลเป็นเพียงเครื่องหรือของให้กำลังใจสำหรับผู้ตั้งใจทำความดี หากมองว่าการให้รางวัลเป็นการให้ติดวัตถุนิยมแล้ว ก็ฟ้องว่า ผู้เขียนข่าวนั้นไม่ได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์มามากพอ ที่กล่าวอย่างนี้เพราะในพระไตรปิฎกมีตัวอย่างอยู่หลายครั้งที่เป็นกุศโลบายให้คนเข้าหาธรรมะ เช่น กรณีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้สัญญากับพระนันทะ ว่าหากตั้งใจปฏิบัติธรรมจะต้องได้นางฟ้าแน่นอน พระนันทะจึงตั้งใจปฏิบัติธรรมจนในที่สุดก็เป็นพระอรหันต์ หรือกรณีอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็จ้างลูกไปฟังธรรม เมื่อไปบ่อยเข้า ในที่สุดก็ได้บรรลุธรรม รางวัลนั้นจึงไม่มีความหมายอีกต่อไป



๓. วัดสร้างขุมกำลังกองทัพไซเบอร์รุ่นใหม่
     - ความจริง คือ เนื่องจากสื่อทุกวันนี้มีแต่ข่าวสีดำ หรือสีเทาที่มุ่งเน้นไปเรื่องอบายมุขและการจับผิด ทางวัดจึงต้องการให้เยาวชนได้พัฒนาไปถูกทิศทางโดยการจับดี หาเรื่องดี ๆ มาลงในสื่อออนไลน์ทั้งหลาย เพื่อจะได้อ่าน ได้เห็นแต่เรื่องดี ๆ ที่จะทำให้คุณภาพใจสูงขึ้น ให้มีความเคารพในพระรัตนตรัย หรือผู้มีคุณธรรม ไม่ใช่การเรียกพระเรียกเจ้า แบบขาดสัมมาคารวะอย่างที่สื่อส่วนมากเป็นกัน



๔. วัดพระธรรมกายมีแผนยึดครองวงการศาสนา

     - ความจริงแล้ว วัดพระธรรมกายพร้อมที่จะทำงานสนองงานการคณะสงฆ์ อะไรก็ตามที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง วัดพร้อมจะเข้าไปเป็นมือเป็นเท้า มุ่งหวังเพียงจะเอาบุญบารมี ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างที่ผู้อื่นมอง ประเด็นนี้โปรดอย่าเอาใจของคนพาลมาวัดใจของบัณฑิต



๕. วัดพระธรรมกายเข้ายึดชมรมพุทธศาสตร์
     - ความจริง วัดพระธรรมกายได้ตระหนักในคุณค่าและศักยภาพของนักศึกษาว่า เป็นมันสมองของสังคม หากได้ใช้ศักยภาพไปในทางที่ถูกต้องแล้ว ย่อมจะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ดังนั้นแทนที่จะเอาเวลาไปเที่ยวเตร่เฮฮา มั่วสุมกับอบายมุข จึงได้จัดกิจกรรมให้รู้จัก การทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา โดยใช้หลักธรรมในพระพุทธศาสนา ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างออกไปจากพระไตรปิฎกเลย




     กล่าวโดยสรุป การที่ครู อาจารย์ในสถาบันต่าง ๆ ได้ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมของวัดพระธรรมกายนั้น เกิดจากความปรารถนาดีต่อลูกศิษย์ ที่อยากจะให้ศิษย์มีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องดีงาม และมองว่าเยาวชนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติในอนาคต ก็ไม่ทราบว่า ในสายตาของผู้เขียนข่าวอยากจะให้ทิศทางของเยาวชนก้าวไปแบบไหน หากเขียนด้วยอคติ ย่อมจะไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ กับสังคมเลย การจะชี้นำอะไรโดยอาศัยที่มีสื่ออยู่ในมือและคิดทำลายผู้ที่ตนไม่เห็นด้วย ไม่ใช่ของยาก แต่อยากให้มองว่า การสร้างชาติ สร้างเยาวชนให้เป็นคนดี ไม่ใช่ของง่าย แต่ก็มีวิธีอยู่แล้วตามพุทธวิธี
 
     ดังนั้นแทนที่จะคิดทำลาย มาช่วยกันสร้างเยาวชนให้เป็นกำลังของชาติต่อไปในอนาคตไม่ดีกว่าหรือ



ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
08/22/16

Tuesday, August 16, 2016

ฤา อำนาจเป็นอมตะ



ฤา อำนาจเป็นอมตะ



     มีผู้ให้ความหมายของคำว่า "อำนาจ" ไว้ว่าคือความสามารถในการกำหนดให้ผู้อื่นเป็น หรือกระทำตามความต้องการของตนเอง แม้ว่าผู้อื่นจะขัดขืนก็ตาม

     อีกนิยามหนึ่งบอกว่า "อำนาจ" เป็นความสามารถฝ่ายเดียว หรือเกือบจะฝ่ายเดียว หรือศักยภาพในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอะไรบางอย่าง ซึ่งมักจะเป็นชีวิตของผู้คน ผ่านทางการกระทำของตนเองหรือผู้อื่น



     เมื่อดูจากนิยามดังกล่าว จึงไม่แปลกใจที่เรามักจะพบว่า เมื่อใครก็ตามมีอำนาจอยู่ในมือ จะเหมือนสิ่งเสพติดที่ยากจะปล่อยวางได้ เพราะการที่ตนเองมีอำนาจ ย่อมสามารถจะสั่งซ้ายหัน ขวาหันให้กับผู้คน โดยไม่สนใจว่าผู้รับคำสั่งหรือผู้ที่ถูกกระทำจากคำสั่งนั้นจะมีผล มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ทำให้ลืมเลือนสัจธรรมที่คุณวิสา คัญทัพ เคยเขียนไว้ว่า

     “ ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ

  ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน       ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป

  เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่         ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่

  เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ     ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ”



     ความจริงแล้วอำนาจก็เหมือนดาบสองคม หากเราใช้เป็นก็จะเกิดประโยชน์กับชนหมู่มากได้ เช่น ใช้อำนาจไปในทางสร้างสรรค์ ออกระเบียบแบบแผนหรือสร้างระบบให้คนทำความดีอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันสิ่งเลวร้ายในชีวิตหรืออบายมุข เช่น ออกระเบียบทางสังคม ให้งดเว้นการดื่มสุราในวันพระ หรือชายไทยพุทธทุกคนต้องผ่านการ บวชเรียนอย่างน้อย ๑ พรรษา เป็นต้น



     ในทางตรงกันข้าม หากนำอำนาจนั้นไปใช้ในทางผิด ๆ ไปก่อกรรมทำเข็ญกับผู้อื่น โดยเฉพาะพระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่เว้นดังเช่นในปัจจุบันนี้ ที่พระที่ตั้งใจทำความดี เผยแผ่ธรรมะตั้งแต่วันแรกที่บวชจนชราภาพ กลับถูกตั้งข้อหายักยอกเงินวัดบ้าง ฟอกเงินบ้าง รับของโจรบ้าง เป็นภัยต่อความมั่นคงบ้าง เป็นผู้มีอิทธิพลบ้าง หรือแม้กระทั่งรังแกพระที่ท่านอยู่ในป่า ช่วยรักษาป่า ก็กลับถูกข้อหารุกป่าสงวนหรือที่อุทยานฯ ตั้งท่าจะจับท่านสึกอย่างเดียว



     หรือการที่อาศัยอำนาจที่อยู่ในมือ ออกกฎหมายหาช่องทางเล่นงานผู้ที่เห็นต่าง แม้จะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ตาม โดยอ้างอำนาจพิเศษเข้าออกไปตรวจค้นหรือแม้กระทั่งไปนั่งเฝ้าจนชาวบ้านรำคาญ รวมทั้งการหาเหตุจับกุมได้โดยเพียงแค่มีเหตุสงสัย จะขอพบทนายยังไม่ยอมให้พบ ทั้งไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดกับประชาชนตาดำ ๆ ว่าเขาต้องขาดรายได้ที่ต้องหาเลี้ยงครอบครัวไปวันละเท่าไร ลูกเมียของเขาต้องเดือดร้อนแค่ไหน บางครอบครัวสามีถูกจับกุมเข้ามาควบคุมตัวไว้ที่กรุงเทพ เขาต้องเสียเวลาเดินทางมาจากต่างจังหวัด แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้พบ สามีจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้



     สิ่งที่ผู้มีอำนาจอาจจะลืมนึกไปก็คือว่า ยังมีพลังที่สำคัญชนิดหนึ่งที่จะสามารถเอาชนะอำนาจอันไม่เป็นธรรมได้ นั่นคือ "พลังแห่งความดี" ซึ่งเป็นพลังที่ทรงพลานุภาพ เป็นพลังที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย แม้วันนี้อำนาจอาจเข้ามาครอบงำได้ แม้วันพรุ่งนี้หรือวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น พระพุทธศาสนาจะถูกลบไปจากแผ่นดินนี้หรือไม่ก็ตาม แต่สักวันหนึ่งพลังแห่งความดีย่อมจะชนะในที่สุด



ก่อนจากกันขอฝากโคลงของกวีศรีปราชญ์ ให้กับผู้มีอำนาจทั้งหลาย

                 ธรณีนี่นี้        เป็นพยาน

       เราก็ศิษย์มีอาจารย์         หนึ่งบ้าง

       เราผิดท่านประหาร        เราชอบ

       เราบ่ผิดท่านมล้าง         ดาบนี้คืนสนอง ฯ




ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
08/17/16



















Monday, August 15, 2016

ลองใช้มาตรฐานเดียวกันดีไหม ?



ลองใช้มาตรฐานเดียวกันดีไหม ?



     ก็ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับผลของการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำความชื่นอกชื่นใจให้กับรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งผู้ร่างคือ คุณมีชัย ฤชุพันธ์ุ ที่ยอมสละเวลาอันมีค่า เพื่อจะให้มีการเลือกตั้งให้ได้ภายในปีหน้า (2560)

     อย่างไรก็ตามก็มีเรื่องที่ทำให้ผู้เขียนลองมานั่งนึก นอนนึก ดูเล่น ๆ ว่า หากใช้มาตรฐานเดียวกัน งานนี้จะออกมารูปไหน



     ลองย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อน หลังจากที่มีงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราช ทางคณะสงฆ์ก็คาดหวังว่า จะมีการโปรดเกล้าแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ รอแล้วรอเล่าเรื่องก็เงียบไป ไม่เพียงเท่านั้น ไม่นานนัก คลื่นก็สาดซัดไปที่วัดปากน้ำ โดนสมเด็จวัดปากน้ำเข้าเต็ม ๆ จู่ ๆ ก็มีคนเอาข้อหาไปประเคนให้ เรื่องยื้อไปยื้อมาจนคนมองออกว่า นี่คือ การสกัดการขึ้นเป็นสังฆราช

     - ทั้งการตั้งข้อหารถในพิพิธภัณฑ์ให้กลายเป็นรถหรู

     - ทั้งการอ้างว่าเป็นอุปัชฌาย์ของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องรับผิดชอบในเรื่องที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายถูกกล่าวหา

     - ทั้งมีการตั้งทีมงานเพื่อตีความมาตรา ๗ ว่าให้อำนาจนายก ฯ เป็นต้นเรื่องในการนำเสนอ ทั้งที่ในตัวบทกฎหมายก็ระบุอย่างชัดเจนว่า ให้ทางมหาเถรสมาคมเป็นต้นเรื่อง แล้วให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ทูลเกล้า ฯ

     - เพื่อให้สมเหตุสมผล ก็ต้องมีตัวละครฝ่ายพระออกมาค้านการจะตั้งสมเด็จวัดปากน้ำ มีการนำสังฆทานบุกไปวัดปากน้ำ พร้อมกับกองกำลังเสื้อเขียวอารักขาอย่างดี

     - เมื่อองค์ประกอบต่าง ๆ ลงตัว ก็เป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีสามารถนำมาอ้างได้ว่า เมื่อทุกอย่างยังไม่เรียบร้อยมีผู้คัดค้านอยู่ก็จะยังไม่ยื่น



     มีข้อน่าสังเกตว่า

     ในการประชุมมหาเถรสมาคม มีมติ ๑๗ ต่อ ๐ เสียง ให้นำเสนอชื่อสมเด็จวัดปากน้ำเป็นสังฆราช แต่มตินี้กลับไม่ได้รับการพิจารณาแต่อย่างใด

     ทีนี้ก็มาถึงประเด็นที่ผู้เขียนได้บอกว่า ลองนึกเล่น ๆ

เรื่องแรก เกี่ยวกับประชามติ

     แม้ว่าจะผ่านไปแล้วก็ตาม หากลองใช้มาตรฐานเดียวกันนี้ ว่ามีคนที่คัดค้าน ไม่เห็นด้วย เป็นสิบ ๆ ล้าน และบางจุดก็เกิดตัวเลขที่เกินจริง คือ มีคะแนนเสียงมากกว่าจำนวนคนที่มีอยู่ ทำไมไม่รอให้เรื่องกระจ่างชัดก่อนค่อยประกาศว่า ผ่านหรือไม่ผ่าน จะรีบประกาศไปทำไม

เรื่องที่สอง เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรี

     หากใช้มาตรฐานเดียวกับสมเด็จวัดปากน้ำ เกิดมีใครคัดค้าน หรือเห็นว่า คนนี้ไม่ควรเป็นนายก ฯ จะทำอย่างไรต่อไป จะเปลี่ยนคนใหม่หรือไม่ และหากเปลี่ยนคนใหม่ แล้วถูกคัดค้านอีกจะเป็นอย่างไรต่อไป จะตั้งนายกฯ ได้หรือไม่



     ก็แค่คิดขำ ๆ เพราะเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ แหม ทางออกโล่งซะขนาดนั้น



ขอขอบคุณภาพจาก google.com
อนาคาริก
08/16/16







Sunday, August 14, 2016

คำถามที่ต้องการคำตอบ



คำถามที่ต้องการคำตอบ



     การสร้างความน่าเชื่อถือหรือเชื่อมั่นในองค์กรต่างๆ อยู่ที่ความสามารถในการตอบคำถามทุกประเด็นให้เกิดความกระจ่างแจ้ง ปราศจากข้อกังขา ให้กับคนในองค์กรนั้นๆ



     ในทางพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้า จะทรงไขปัญหาที่
พระภิกษุมาสอบถามได้อย่างชัดเจน จนมีคำกล่าวอุปมาว่า แจ่มแจ้งจริงหนอ ประดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด จุดประทีปในที่มืด บอกทางแก่คนหลงทาง ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระพุทธองค์กล่าวเรื่องใดๆ จึงชัดเจน ไม่มีคำถามตามมาเพราะพระองค์ตรัสแต่คำจริง ปราศจากอคติ ไม่มีนอก มีใน และตั้งอยู่บนพื้นฐานของกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต



     ในช่วงที่ผ่านมา เรามักจะพบคำถามหลายๆคำถาม ที่ยังไม่มีคำตอบให้ชัดเจนในสังคม ทำให้เกิดความสงสัยว่า เรื่องเหล่านี้มีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ทำให้ขาดความเชื่อมั่นในการบริหาร ในการปกครอง เช่น

     - ทำไมรัฐบาลไม่ดำเนินการเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม

     - ทำไมพระที่ดีในสายตาของประชาชน กลับถูกรังแก ถูกป้ายสี ให้มองว่าเป็นผู้ร้าย ในขณะที่พระรูปเดียวที่มีพฤติกรรมชัดเจน ว่าละเมิดวินัยเป็นอาจิณ ไปข่มขู่ผู้อื่น ขัดขวางการเลือกตั้ง ฯลฯ กลับได้รับการคุ้มครองอย่างดี

     - ทำไมการที่พระไปสวดมนต์กันที่พุทธมณฑล กลับได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ถูกสร้างภาพให้เป็นผู้ร้ายในสายตาของสื่อ

     - ทำไมทางราชการจึงส่งคนออกไปสอบถามและทำประวัติว่า มีใครเข้ามาร่วมชุมนุม ไม่เว้นแม้กระทั่งวัดวาอาราม พระสงฆ์องค์เจ้า

     - ทำไมผู้ที่ทำผิดอย่างชัดเจน เช่น ไปขัดขวางการเลือกตั้ง จ้วงจาบพระมหาเถระผู้ใหญ่ ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเสมอ กลับยืนอยู่ได้ในสังคมอย่างไม่สะทกสะท้าน

     - ทำไมเรื่องของรถหรู มีอยู่ตั้งหลายพัน แต่จำเพาะเจาะจง มาเล่นงานหลวงพ่อสมเด็จ เจ้าหน้าที่จะมีความกล้าที่จะเข้าไปจัดการคันอื่นหรือไม่

     - ทำไมในขณะที่รัฐบาลประกาศว่าเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ปรากฎว่า
คนยังตกงาน มีโจร ขโมย มากขึ้น

     - ทำไมพระที่เข้าไปรักษาป่า ไปปลูกป่า กลับถูกตั้งข้อหาบุกรุกป่า ในขณะที่ศาสนิกอื่นทางการกลับช่วยเหลือออกเอกสารให้

     - ทำไมพระที่ไม่ทำผิดแต่ถูกยัดเยียดข้อหา ในขณะที่คนทำผิดกลับไม่ถูกแจ้งข้อหา



     นี่เป็นเพียงคำถามบางส่วนซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม และไม่ได้รับการแก้ไขให้ถูกวิธีหากทุกคนต้องการแก้ไขและพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองจริงๆแล้วทุกฝ่ายต้องหันหน้ามายอมรับความจริง มาพูดความจริงกัน โดยปราศจากอคติและความคิดที่แบ่งแยกเราเขา มองกันด้วยจิตเมตตา ไม่ว่าร้ายกัน ไม่โทษกัน ร่วมกันแก้ปัญหาจริงๆจังๆ ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลากร เรื่องทรัพยากร ประเทศชาติของเราจะต้องพลิกฟื้นในระยะเวลาอันสั้น


     หากทำได้อย่างนี้ คำถามทุกคำถาม นอกจากจะมีคำตอบแล้ว ยังจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดอีกด้วย




ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
08/14/16